แฝดแท้ แฝดเทียม (Twins)

แฝดแท้ แฝดเทียม (Twins)

ใครเคยมีความคิดว่าเอ้ ‘ฉันอยากมีฝาแฝดบ้างจังเลยไหมคะ?’ ใครหลายคนเกิดมามีพี่น้อง และใครอีกหลายคนก็เกิดมาเป็นลูกคนเดียว แล้วทำไมคนเกิดมาแล้วมีฝาแฝดถึงมีจำนวนน้อยกว่าละ

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า
การเกิดมามีฝาแฝด นั้นเกิดจากอะไร

โดยปกติแล้วการปฏิสนธิจะเกิดขึ้นจากการที่ อสุจิ 1 ตัว เข้าไปผสมกับไข่ 1 ใบแล้วเกิดการพัฒนาขึ้นกลายเป็นตัวอ่อน(Embryo)

แต่การมีแฝดซึ่ง มีทั้งแฝดแท้และแฝดเทียม โดย

  • แฝดแท้(Identical Twins) เด็กจะเกิดมามีรูปร่างหน้าตา เหมือนกันทุกอย่าง และส่วนมากจะเป็นเพศเดียวกัน
  • แฝดเทียม(Fraternal Twins) เด็กที่เกิดมาอาจจะมีลักษณะคล้ายกัน หรือแตกต่างกันได้ โดยมีได้ทั้งเพศเดียวกันและต่างเพศกัน

แฝดแท้(Identical Twins) เกิดจากการที่อสุจิ 1 ตัว ผสมกับไข่ 1 ฟอง แต่ในขั้นตอนของกระบวนการแบ่งตัวนั้น มีตัวอ่อนตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป โดยแฝดแท้จะใช้รกอันเดียวกันในการนำสารอาหารมาใช้ในการเจริญเติบโตระหว่างอยู่ในครรภ์มารดา

โดยแฝดเทียม(Fraternal Twins) เกิดจากการที่ อสุจิ 1 ตัว เข้าไปผสมกับ ไข่ 1 ใบ โดยในกรณีนี้เพศหญิงจะต้องมีการตกไข่มากกว่า 1 ใบ ทำให้เกิดการปฏิสนธิของอสุจิกับไข่มากกว่า 1 ใบขึ้นไป โดยหลังจากปฏิสนธิแล้ว ตัวอ่อนที่เจริญเติบโตจะมีรกคนละอันกันค่ะ

จะเห็นแล้วใช่ไหมคะว่าการเกิดแฝดแท้และการเกิดแฝดเทียมนั้นต่างกันอย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นแฝดแท้ หรือแฝดเทียมความรักใคร่ ลักษณะนิสัย หรือบุคลิกนั้นล้วนมาจากการเลี้ยงดูเป็นสำคัญค่ะ

สนใจบริการ

เฝ้าไข้ที่บ้านและโรงพยาบาล #พาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล #ดูแลเจาะเลือดที่บ้าน #บริการทำแผลที่บ้าน #บริการวางแผนสอนดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุที่บ้าน#เปลี่ยนสายให้อาหาร#เปลี่ยนสายสวนปัสสาวะที่บ้าน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line : @unitynursingcare
Tel 📱: 063-526-5593
E-mail 📩: unitynursingcare@gmail.com
Website 🌐 : www.unitynursingcare.com

การสำลัก

การสำลัก (Choking)

วันก่อนมีใครได้ตามข่าวที่มีผู้สูงอายุทานลูกชิ้น แล้วเกิดสำลัก ติดคอ ทำให้เกิดการเสียชีวิตตามมาบ้างคะ จากข่าวญาติที่ดูแลผู้ป่วยบอกว่าปกติจะตัดอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ผู้ป่วยทาน เนื่องจากผู้ป่วยเคี้ยวอาหารลำบาก มีฟันเหลือเพียง 3 ซี่ แต่วันนั้นผู้ป่วยแอบทานลูกชิ้นเองและญาติไม่เห็นจึงเกิดการสำลักขึ้นค่ะ

จากข่าวนี้เราจึงชวนทุกคนมาดูกันว่า การสำลัก (Choking) คืออะไรค่ะ
การสำลัก คือ การที่มีสิ่งแปลกปลอมลงไปอุดกั้นทางเดินหายใจของเราค่ะ ไม่ว่าสิ่งแปลกปลอมนั้นจะเป็นของแข็งหรือของเหลวก็ตาม

เวลาที่เราดื่มน้ำ หรือทานอาหาร อาหารจากปากเราจะลงสู่หลอดอาหารจึงมักมีคำสอนจากผู้ใหญ่ว่า ‘อย่าคุยเวลากินข้าวเพราะจะสำลักอาหาร’ เพราะทำให้บางทีอาหารที่ควรจะลงสู่หลอดอาหาร หลุดเข้าไปที่หลอดลมทำให้เกิดการสำลักได้ค่ะ

และนอกจากนี้ในผู้สูงอายุจะมีการเคี้ยว การกลืนลดลง เนื่องจากผู้สูงอายุหลายท่านมีจำนวนซี่ฟันลดลง ทำให้เคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด และเวลากลืนอาหารกลืนลำบาก ทำให้เกิดการสำลักได้เช่นกันค่ะ ดังนั้นอาหารสำหรับผู้สูงอายุควรจะเป็นอาหารที่นิ่ม อ่อน เคี้ยวง่าย และมีการตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเคี้ยวและการกลืนค่ะ

เรามาดูกันค่ะว่า หากเราเจอผู้ที่สำลัก เราต้องให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น อย่างไรค่ะ
การปฐมพยาบาลผู้ที่สำลัก สามารถทำได้โดย ‘การรัดกระตุกใต้กระบังลม(Abdominal thrusts/ Hiemlich maneuver) ’ โดยวิธีการ ดังนี้ค่ะ

  1. ผู้ช่วยเหลือไปยืนด้านหลังผู้สำลัก แจ้งผู้ที่สำลักให้กางขาออกให้มั่นคง ผู้ช่วยเหลือสอดขาข้างหนึ่งเข้าไปกลางหว่างขาของผู้สำลัก
  2. ผู้ช่วยเหลือวัดตำแหน่งการวางมือบนตัวผู้สำลักโดย ผู้ช่วยเหลือใช้นิ้วกลางแตะบริเวณสะดือ นิ้วโป้งกางออกใต้ลิ้นปี่ และนิ้วชี้กางออกกึ่งกลางระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วกลาง
  3. ผู้ช่วยเหลือกำมือวางที่ตำแหน่งนิ้วชี้
  4. ผู้ช่วยเหลือใช้มือที่วัดตำแหน่งออกมากุมรอบกำปั้นตนเอง
  5. ผู้ช่วยเหลือแจ้งผู้สำลักให้โน้มตัวไปด้านหน้า
  6. ผู้ช่วยเหลือทำการรัดกระตุกใต้กระบังลมเป็นชุด ชุดละ 5 ครั้ง ทำซ้ำจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกจากหลอดลม
    โดยการปฐมพยาบาลผู้สำลักในเด็กและเด็กทารกจะมีวิธีการที่ต่างกันออกไปค่ะ

แต่เมื่อเกิดการสำลักขึ้นนั้น การรีบให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากสมองคนเราสามารถขาดออกซิเจน 4 นาทีค่ะ หากสมองขาดออกซิเจนนานนั้นจะทำให้ผู้ที่สำลักเสียชีวิตได้ หรือหากมีการกู้ชีพให้กลับมามีชีวิตได้ก็อาจจะมีภาวะสมองตาย(Brain Death) และอยู่ในสภาวะเป็นผัก(Vegetative State) ได้ค่ะ

สนใจบริการ

เฝ้าไข้ที่บ้านและโรงพยาบาล #พาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล #ดูแลเจาะเลือดที่บ้าน #บริการทำแผลที่บ้าน #บริการวางแผนสอนดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุที่บ้าน
เปลี่ยนสายให้อาหารสายสวนปัสาสวะที่บ้าน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line : @unitynursingcare
Tel 📱: 063-526-5593
E-mail 📩: unitynursingcare@gmail.com
Website 🌐 : www.unitynursingcare.com

วิตามินอะไร ละลายในไขมันบ้าง?

สมัยเด็กๆ ตอนที่เราเรียนกันมา จำได้ไหมคะว่า วิตามินนั้น มีมากมายหลากหลายชนิด แต่วิตามินที่ละลายได้ในไขมันนั้นมีเพียง 4 ตัวเท่านั้นค่ะ ได้แก่ A D E K ค่ะ

ถ้าวิตามินมีแค่ 4 ตัวนี้ที่ละลายในไขมัน สงสัยกันไหมคะว่าแล้ววิตามินตัวอื่นๆ ละลายในอะไร คำตอบก็คือ… ละลายในน้ำค่ะ ซึ่งในร่างกายเราก็คือน้ำเลือดนั่นเอง

แล้ววิตามิน A D E K มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

🔹Vitamin A มักพบในน้ำมันตับปลา เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ผักสีเหลือง สีส้ม เช่น ฟักทอง แครอท วิตามินเอมีส่วนช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตาค่ะ

🔹Vitamin D เป็นวิตามินที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เองเมื่อร่างกายของเราสัมผัสกับแสงแดด หรือเราสามารถพบวิตามิน D ได้ในน้ำมันตับปลา ปลาแซลม่อน โดยวิตามิน D มีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียมของร่างกายและยังช่วยในเรื่องของการเสริมระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วยค่ะ

🔹Vitamin E พบได้ในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน ซึ่งวิตามิน E จะมีส่วนช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณ ต่อต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบ

🔹Vitamin K พบในไข่แดง ผักใบเขียว น้ำมันมะกอก น้ำมันตับปลา วิตามิน K ทำหน้าที่ช่วยเรื่องกลไกการแข็งตัวของเลือดเมื่อเกิดบาดแผลค่ะ

จะเห็นกันแล้วใช่ไหมคะว่าวิตามินแต่ละชนิดให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน ซึ่งหากเรารู้จักเลือกรับประทานผัก ผลไม้หรืออาหารที่กล่าวไปข้างต้น จะทำให้เราได้รับวิตามินเหล่านั้นเข้าร่างกายเราตามธรรมชาติค่ะ

บางคนอาจจะมีคำถามว่า กว่าจะได้รับวิตามินต่างๆ ครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย ต้องไปเลือกซื้อเลือกหาอาหาร หรือกินอาหารหลากหลายชนิดขนาดนั้นก็คงทำได้ลำบาก ปัจจุบันจึงมีวิตามินเสริมของหลายยี่ห้อ ออกมาจำหน่ายสำหรับผู้ที่ต้องการได้รับวิตามินนั้นๆ ค่ะ

แต่อย่าลืมว่า วิตามิน ทานมากไปเกินความต้องการของร่างกายก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีค่ะ โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายในไขมัน เพราะไม่สามารถขับออกทางปัสสาวะได้เหมือนวิตามินที่ละลายในน้ำ จะก่อให้เกิดพิษกับตับ ไตของเราได้นั่นเองค่า

สนใจรับบริการ

เฝ้าไข้ที่บ้านและโรงพยาบาล #พาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล #ดูแลเจาะเลือดที่บ้าน #บริการทำแผลที่บ้าน #บริการวางแผนสอนดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุที่บ้าน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line : @unitynursingcare
Tel 📱: 063-526-5593
E-mail 📩: unitynursingcare@gmail.com
Website 🌐 : www.unitynursingcare.com

Vitamin D

Vitamin D

เคยได้ยินกันใช่ไหมคะว่า ตากแดดนี่ดีนะ ทำให้ร่างกายของเราได้รับวิตามินดี ด้วย แต่ต้องเป็นแสงแดดอ่อนๆ ที่ไม่แรงจัดค่ะ หากแดดร้อนจัดแล้วไปยืนตากแดดเพื่อรับวิตามินดี อาจจะเกิดผลเสียต่อผิวหนังมากกว่าผลดีค่ะ เพราะนอกจากจะทำให้ผิวหนังของเราเกิดการสร้างเม็ดสีผิวทำให้ผิวคล้ำขึ้นแล้ว จะยังทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังอีกด้วยค่า

โดยเราสามารถรับ Vitamin D ได้จาก

  1. การสัมผัสแสงแดด การทำกิจกรรมกลางแจ้งเพิ่มขึ้น เช่น การออกกำลังกาย โดยแนะนำให้สัมผัสแสงแดดช่วงเช้าหรือช่วงเย็นที่แดดไม่ร้อนจัดอย่างน้อย 15-30 นาที/วัน ค่ะ
  2. การรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินดี เช่น ไข่ นม ปลาแซลม่อน ปลาทูน่า ปลาซาดีน เป็นต้น

ซึ่ง Vitamin D จะมีส่วนช่วยใน

  1. การดูดซึมแคลเซียม (Calcium) ในร่างกาย ช่วยในการป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุน(Osteoporosis) จึงเห็นว่าอาหารเสริมแคลเซียมที่วางขายกันในปัจจุบันมีการใส่วิตามินดีลงไปด้วย เพื่อช่วยให้แคลเซียมสามารถดูดซึมได้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ
  2. ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune System)
  3. ช่วยในการลดความเครียดและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะซึมเศร้า เนื่องจาก Vitamin D มีส่วนช่วยในการหลั่งสาร Serotonin จากสมอง
  4. ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน(DM type 2) เนื่องจากวิตามินดี มีส่วนช่วยในการนำน้ำตาลมาใช้เป็นพลังงานค่ะ

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรละ ว่าร่างกายของเรากำลังขาด Vitamin D อยู่
หากเราไม่ได้ทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับวิตามินดีในร่างกาย เราต้องสังเกตุร่างกายตนเองค่ะว่ามีภาวะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดกระดูกแขน ขา หรือมีกระดูกโก่ง เนื่องจากการขาดวิตามินดี จะทำให้การดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสลดลง ส่งผลให้เกิดโรคกระดูกอ่อนได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

แต่หากเราไปทำการตรวจระดับวิตามินดีในเลือดแล้วพบว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ อย่าเพิ่งรีบซื้อวิตามินมาทานเองนะคะ อย่างไรก็ดีควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำในการรับประทานวิตามินในระดับที่เหมาะสมกับร่างกายของเราค่ะ เพราะหากเรารับประทานวิตามินดีมากจนเกินไป จะทำให้เกิดการสะสมในร่างกายและเกิดการเป็นพิษตามมาได้ค่ะ

สนใจบริการ

เฝ้าไข้ที่บ้านและโรงพยาบาล #พาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล #ดูแลเจาะเลือดที่บ้าน #บริการทำแผลที่บ้าน #บริการวางแผนสอนดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุที่บ้าน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line : @unitynursingcare
Tel 📱: 063-526-5593
E-mail 📩: unitynursingcare@gmail.com
Website 🌐 : www.unitynursingcare.com

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (Breastfeeding)

ทารกตั้งแต่แรกคลอดจนถึงอายุ 6 เดือน ทานอะไรได้บ้างคะ?
คำถามนี้เชื่อว่า ถ้าไปถามใครหลายคนอาจจะได้คำตอบที่แตกต่างกัน หากไปถามปู่ ย่า ตายาย หรือคนสมัยก่อนอาจต้องมีคำตอบว่า ให้กินกล้วย กันบ้างแน่เลยค่ะ

คนสมัยก่อนมีความเชื่อว่าการให้เด็กกินกล้วยนั้นจะทำให้เด็กจ้ำม่ำ โตเร็ว แต่ในความเป็นจริงนั้นทางเดินทางอาหารของเด็กแรกเกิดจนถึง 6 เดือนยังไม่สามารถย่อยและดูดซึมอาหารอื่นนอกจากนมแม่หรือนมของเด็กในช่วงวัยนั้นๆ ได้ ทำให้เมื่อเด็กทารกได้รับการป้อนอาหารอื่นเข้าไปจะทำให้เกิดปัญหาลำไส้อุดตันได้ ดังนั้นในช่วงแรกเกิด – 6 เดือนแรกหลังคลอด เราสามารถให้ลูกกินเฉพาะนมแม่โดยที่ไม่ต้องกินสิ่งอื่นๆ หรือแม้แต่น้ำได้เลยค่ะ เพราะในนมแม่มีน้ำเป็นองค์ประกอบถึง 85 % และยังมีสารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอด้วยค่ะ

ซึ่งเด็กทารกในแต่ละช่วงวัย เริ่มการกินอาหารที่แตกต่างกันดังนี้ค่ะ

🔹 แรกเกิด – 6 เดือน กินแต่นมแม่อย่างเดียว

🔹 6 เดือน กินนมแม่ เสริมอาหารอื่น 1 มื้อ โดยในอาหารมื้อนั้นประกอบด้วย ข้าว 3 ช้อน + ไข่แดง 1/2 ฟอง เนื้อปลา 2 ช้อน หรือตับบด 1 ช้อน + ผักสุก 1/2 ช้อน หรือฟักทอง 1/2 ช้อน + มะละกอสุก 2 ชิ้น หรือส้ม 2 กลีบ

🔹7 เดือน กินนมแม่ เสริมอาหารอื่น 1 มื้อ โดยในอาหารมื้อนั้นประกอบด้วย ข้าว 4 ช้อน + ไข่แดง 1 ฟอง เนื้อปลา 2 ช้อน หรือเนื้อหมู 2 ช้อน + ผักสุก 1.5 ช้อน หรือฟักทอง 1.5 ช้อน + มะละกอสุก 2 ชิ้น หรือมะม่วง 2 ชิ้น

🔹8-9 เดือน กินนมแม่ เสริมอาหารอื่น 2 มื้อ โดยในอาหารมื้อนั้นประกอบด้วย ข้าว 5 ช้อน + ไข่แดง 1 ฟอง เนื้อปลา 2 ช้อน หรือเนื้อหมู 2 ช้อน + ผักสุก 2 ช้อน หรือฟักทอง 2 ช้อน + มะละกอสุก 3 ชิ้น หรือกล้วย 1 ผล

🔹10-12 เดือน กินนมแม่ เสริมอาหารอื่น 3 มื้อ โดยในอาหารมื้อนั้นประกอบด้วย ข้าว 5 ช้อน + ไข่แดง 1 ฟอง เนื้อปลา 2 ช้อน หรือเนื้อหมู 2 ช้อน หรือ ตับบด 1 ช้อน + ผักสุก 2 ช้อน หรือฟักทอง 2 ช้อน + มะม่วง 4 ชิ้น หรือส้ม 1 ผล

จะเห็นแล้วใช่ไหมคะว่าแม้เด็กทารกจะอายุเลย 6 เดือนแล้ว ยังให้กินนมแม่ต่อได้จนถึง 1-2 ปีเลยค่ะ แต่อาหารอื่นๆ ที่นอกเหนือจากนมแม่นั้น ควรที่จะค่อยๆ ให้ทีละเสต็ป เพื่อให้ระบบทางเดินอาหารและการย่อยอาหารสามารถทำงานได้ดีลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาท้องอืด ท้องเสีย หรือลำไส้อุดตันตามมาค่ะ

สนใจบริการ

เฝ้าไข้ที่บ้านและโรงพยาบาล #พาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล #ดูแลเจาะเลือดที่บ้าน #บริการทำแผลที่บ้าน #บริการวางแผนสอนดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุที่บ้าน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line : @unitynursingcare
Tel ?: 063-526-5593
E-mail : unitynursingcare@gmail.com
Website : www.unitynursingcare.com